11/24/2009

BMW 5 Series ถึงเวลาโฉมใหม่ของซีดาน

รถ, รถยนต์, ราคารถ, รถมือสอง, รถมือ 2, รถยนต์มือสอง, รถบ้าน, รถเต็นท์, รถป้ายแดง, รถใหม่, รถเก่า, รถใช้แล้ว, รถแต่ง, ซื้อรถ, ขายรถ, แต่งรถ, รถเก๋ง, รถกระบะ, รถสปอร์ต, รถบรรทุก, ตลาดรถ, เต็นท์รถ, cars

http://pics.manager.co.th/Images/552000015418501.JPEG
http://manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9520000142560

BMW 5 Series ถึงเวลาโฉมใหม่ของซีดาน

ปล่อย ให้ตัวถังใหม่ที่มีความอเนกประสงค์อย่างรุ่น GT ออกวาดลวดลายในตลาดก่อนเพื่อน แต่ในที่สุดบีเอ็มดับเบิลยูก็ไม่สามารถทิ้งรากเหง้าเดิมของสายพันธุ์ซีรีส์ 5 ไปได้ จัดการเผยโฉมตัวถัซีดาน 4 ประตูใหม่ออกมาแล้วเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมเครื่องยนต์ครบครันทั้งเบนซินและเทอร์โบดีเซล พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ และระบบ Auto Start/Stop

ซีรีส์ 5 ใหม่รุ่นนี้มีรหัส F10 และเป็นเจนเนอเรชันที่ 6 นับจากรุ่นแรก E12 ที่เปิดตัวในปี 1972 โดยจะเข้ามาทำตลาดแทนที่รหัส E60/E61 ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2003 ซึ่งในรหัส F10 นี้บีเอ็มดับเบิลยูกระตุ้นตลาดมาก่อนด้วยการส่งตัวถังใหม่ในแบบแฮทช์แบ็กคัน โตระดับหรูในชื่อ GT ออกมาเมื่องานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2009 เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทำเอาแฟนๆ เกิดอาการอึ้งเหมือนกัน เพราะคิดว่าบีเอ็มดับเบิลยูจะเปลี่ยนแนวคิดหันมาเจาะตลาดให้กับซีรีส์ 5 ด้วยตัวถังอื่น...แต่สุดท้ายก็เป็นแค่การตื่นตระหนกไปเอง

แน่นอนว่าทั้งซีดานและ รุ่น GT ได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานเดียวกัน และใช้ตัวถังด้านหน้าจนถึงเสากลาง หรือ B-Pillar ร่วมกัน ส่วนประตูบานท้ายแม้จะมีลักษณะคล้ายกัน แต่ไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ แต่ทั้ง 2 รุ่นยังคงเอกลักษณ์ของมุมโค้งตรงเสาหลังที่เรียกว่า Hofmeister Kink หรือ Hofmeister Kick เอาไว้ ขณะที่ด้านท้ายของรุ่นซีดานออกแบบใหม่ เน้นความสวยและความสปอร์ต รวมถึงประโยชน์ของการใช้งานด้วยการนำหลอด LED มาใช้ในชุดไฟท้ายและไฟเบรก โดยในรุ่นซีดานมีอัตราส่วนการกระจายน้ำหนักที่ได้สมดุลระหว่างด้านหน้าและ หลังด้วยตัวเลข 50:50%

ในเรื่องความอเนกประสงค์ของการใช้งาน โดดเด่นด้วยพื้นที่บรรทุกสัมภาระด้านท้ายที่มีความจุในระดับ 520 ลิตร แถมเบาะนั่งหลังยังสามารถเลือกพับได้ถึง 3 ส่วนแทนที่จะเป็นแบบ 2 ส่วนเหมือนกับรถยนต์ทั่วไป คือ แบ่งเป็น 40:20:40 ส่วนรายละเอียดของแผงหน้าปัดและมาตรวัดใช้ร่วมกับรุ่น GT

7 ทางเลือกของการทำตลาดในช่วงแรกกับเครื่องยนต์ 7 แบบแบ่งเป็นเบนซิน 4 รุ่นเริ่มจากบล็อกเล็กแบบ 6 สูบเรียงในรหัส 523i มีกำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 27.5 กก.-ม. ที่ 1,500-4,250 รอบ/นาที มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 7.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 238 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตามด้วย 528i ที่มีกำลังขยับขึ้นมาเป็น 258 แรงม้า ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 31.5 กก.-ม. ที่ 2,600-5,000 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 6.7 วินาที และความเร็วปลายล็อกเอาไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยทั้ง 2 รุ่นนี้มีการปรับปรุงระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นแบบ High Precision Direct Injection

ต่อ มาเป็นรุ่น 6 สูบเหมือนกันแต่จับคู่กับเทอร์โบคู่ มีความจุ 3,000 ซีซีทำตลาดรหัส 535i มีกำลังสูงสุด 300 แรงม้า ทื่ 5,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 41.4 กก.-ม. ที่ 1,200-5,000 รอบ/นาที เร้าใจกับอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 6 วินาที ปิดท้ายของรุ่นเบนซินเป็นเครื่องยนต์วี8 4,400 ซีซี เทอร์โบคู่ 407 แรงม้า ที่ 5,500-6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 61.1 กก.-ม. ที่ 1,750-4,500 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 5 วินาที

ส่วนเทอร์โบดีเซลเริ่ม กับรุ่น 520d แบบ 4 สูบ 2,000 ซีซี ที่ใช้ระบบคอมมอนเรลรุ่นล่าสุด และเทอร์โบแบบมีครีบแปรผัน มีกำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสุด 38.7 กก.-ม. ที่ 1,900 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 8.1 วินาที และความเร็วสูงสุด 226 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ตามด้วยรุ่น 6 สูบ 3,000 ซีซีในรหัส 525d และ 530d ซึ่งมีกำลัง 204 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 45.8 กก.-ม. ที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที และ 245 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ แรงบิดสูงสุด 55.0 กก.-ม. ที่ 1,750 รอบ/นาที ตามลำดับ พร้อมอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 7.2 และ 6.3 วินาที รวมถึงความเร็วปลาย 236 และ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมงตามลำดับ ส่วนระบบส่งกำลังมีทั้งแบบธรรมดา 5 จังหวะหรืออัตโนมัติ 8 จังหวะที่เปิดตัวครั้งแรกกับซีรีส์ 7 รุ่นปัจจุบัน

ให้ความประหยัดน้ำมันและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยแนวคิด Efficient Dynamics ซึ่งมีการติดตั้งระบบ Auto Start/Stop ซึ่งดับเครื่องยนต์เมื่อจอดติดอยู่กับที่ และถือเป็นครั้งแรกสำหรับซีรีส์ 5 รวมถึงในรุ่นเกียร์ธรรมดายังมีสัญญาณสำหรับแสดงการเปลี่ยนเกียร์เพื่อช่วย เพิ่มความประหยัดน้ำมัน และ Brake Energy Regeneration ซึ่งจะเปลี่ยนพลังงาจลน์ที่สูญเปล่าในระหว่างเบรกหรือถอนคันเร่งมาชาร์จเป็น กระแสไฟฟ้าเก็บเข้าในแบตเตอรี่

แม้ เผยโฉมออกมาแล้ว แต่กำหนดเริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าในยุโรปและอังกฤษจะเริ่มต้นในปีหน้า ซึ่งในตลาดพวงมาลัยขวาอย่างอังกฤษมีราคาอยู่ระหว่าง 28,165-50,520 ปอนด์ หรือ 1.55-2.78 ล้านบาท

http://manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9520000142560

รถ, รถยนต์, ราคารถ, รถมือสอง, รถมือ 2, รถยนต์มือสอง, รถบ้าน, รถเต็นท์, รถป้ายแดง, รถใหม่, รถเก่า, รถใช้แล้ว, รถแต่ง, ซื้อรถ, ขายรถ, แต่งรถ, รถเก๋ง, รถกระบะ, รถสปอร์ต, รถบรรทุก, ตลาดรถ, เต็นท์รถ, cars

No comments:

Post a Comment